วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ธุรกิจที่นำระบบสารสนเทศมาใช้แล้วประสบความสำเร็จ

บริษัท : Kimberly Clark
โปรแกรมที่ใช้ : SAP
การนำมาใช้ : บริษัทใช้ระบบ SAP ในการบริหารจัดการไม่ว่าจะเป็นทางด้านของการจัดเก็บวัตถุดิบ การใช้วัตถุดิบ การบริหาร stock สินค้า การส่งสินค้า การจัดซื้อวัตถุดิบ ระบบ planning ของการผลิตสินค้าใน line การผลิต ระบบบัญชี เป็นต้น
ประโยชน์ที่ได้รับ : ในการนำระบบ SAP เข้ามาใช้ก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีขึ้น เนื่องจากมีการจัดเก็บข้อมุลในส่วนงานต่างๆ ได้อย่างเป็นระบบระเบียบ สามารถเรียกมาใช้งานได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับบริษัทในการบริหารการจัดเก็บข้อมูล ข้อมูลต่างๆเชื่อมโยงในทุกหน่วยงานไม่ว่าจะเป็นในส่วนของการผลิต การตลาด จัดซื้อ บัญชี ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กรณีศึกษา

กรณีศึกษา
1. ทำไมการทำงานร่วมกันในระบบอินทราเน็ตจึงกลายมาเป็น “ ระบบสารสนเทศของทุกๆ คน”
- การทำงานร่วมกันของระบบอินทราเน็ตกลายเป็นสิ่งที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว ที่ทำให้กล่าวได้ว่า “ ระบบสารสนเทศของทุกๆคน” (Everyone’s Information System) ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลสารสนเทศที่สำคัญสำหรับบริษัทหลายๆแห่ง
2. อะไรเป็นแนวคิดระบบสารสนเทศที่คุณได้จากระบบอินทราเน็ตของบริษัทและเครื่องมือค้นหาของ Fulcrum
- Parsons Brinckhoff (www.pbworld.com) มีการแข่งขันโครงการวิศวกรรมร่วมกับบริษัททางวิศวกรรมอื่นๆทั่วโลก ประสิทธิภาพของเครื่องมือค้นหาในระบบอินทราเน็ตได้ช่วยเพิ่มการคืนทุน (Return on Investment : ROI) ให้กับพวกเขา และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยการลดเวลาที่ไม่จำเป็นสำหรับการเข้าถึงและจัดการข้อมูลสารสนเทศในระบบอินทราเน็ตภายในบริษัท The Fulcrum Knowledge Network Search Engine ได้ช่วยให้พนักงานในบริษัทใช้ระบบอินทราเน็ตเป็นเครื่องมือในการแข่งขันสำหรับโครงการทางวิศวกรรมใหม่ๆ
3. อะไรเป็นผลประโยชน์ในทางธุรกิจสำหรับระบบอินทราเน็ตและเครื่องมือค้นหาภายในบริษัท
- บริษัทใช้การสนทนาระบบออนไลน์ภายในเครือข่ายพื้นที่ปฏิบัติการ (Practice Area Networks : PANs)โดยวิศวกรที่มีความชำนาญจากทุกมุมโลก เพื่อแบ่งปันประสบการณ์และความรู้ของพวกเขาในการปรับปรุงงานของบริษัทและโครงการทางวิศวกรรมต่างๆ ซึ่งในการสนทนาผ่านระบบ PAN จะตั้งหัวเรื่องในการสนทนา โดยใช้ซอฟต์แวร์ Fulcrum และจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูล Oracle

วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2554

พัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบราชการ ตอนที่ 2

การจัดการศึกษาในปี ค.ศ.2000 มีเป้าหมายมุ่งพัฒนาผู้เรียน ให้เกิดคุณลักษณะ 3 ประการ คือ ประการแรก พัฒนาคนในด้านสติปัญญา จิตใจ และร่างกาย ประการที่สอง เน้นความเป็นพลเมืองดี พึ่งตนเองได้ รับผิดชอบส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว และประการสุดท้ายสามารถพัฒนาอาชีพ พัฒนาสังคม และสิ่งแวดล้อม ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เพื่อปรับเข้าสู่โลกไร้พรมแดน ด้วยการเรียนที่แท้จริง เรียนรู้เพื่อปฏิบัติได้จริง เรียนรู้เพื่ออยู่ร่วมกัน และเรียนรู้เพื่อชีวิต การเรียนรู้ที่แท้จริง คือ มีการผสมผสานความรู้ทั่วไปที่กว้างขวางอย่างเพียงพอ เพื่อเข้ากับบางวิชาได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง อีกทั้งยังต้องฝึกฝนในวิธีการเรียนรู้ต่าง ๆ เพื่อเป็นแนวทางการนำไปสู่การศึกษาตลอดชีวิต การเรียนรู้เพื่อปฏิบัติได้จริง เป็นการเรียนรู้ไม่เพียงแต่มีความชำนาญทางด้านวิชาชีพเท่านั้น แต่ยังสามารถรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ไม่ว่าจะเป็นการเรียนในระบบหรือนอกระบบหรือตามอัธยาศัยก็ตาม การเรียนรู้เพื่อที่จะได้อยู่ร่วมกัน ด้วยการสอนให้เข้าใจผู้อื่นและตระหนักดีว่ามนุษย์จะต้องพึ่งพาอาศัยกัน ดำเนินโครงการร่วมกันและเรียนรู้วิธีแก้ปัญหาข้อขัดแย้งต่าง ๆ ด้วยวิธีสันติ การเรียนรู้เพื่อชีวิต (Learning to Be) เพื่อจะได้สามารถปรับปรุงบุคลิกภาพของตนได้ดีขึ้น ในการจัดการศึกษาต้องคำนึงถึงการใช้เหตุผล ทักษะในการติดต่อสื่อสารผู้อื่น อีกทั้งต้องให้โอกาสแก่ทุกคนในการศึกษาตลอดชีวิต ด้วยเหตุผลนี้ ครูจึงเป็นผู้มีความสำคัญในการให้การศึกษายิ่งในยุคปฏิรูปการศึกษา ที่จำเป็นต้องใช้ยุทธวิธีเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส เพื่อให้ได้มาซึ่งครูเก่ง ครูดี มีอุดมการณ์ทันสมัย เพื่อเป็นแบบอย่างเป็นผู้ดูแล และฝึกฝนเด็กไทยให้เป็นคนเก่ง สมดังคำกล่าวที่ว่า “ครูต้องเป็นคนที่คิดสร้าง มองไกล ใฝ่รู้ สู้งาน มีวิญญาณครู” แต่สภาวะวิกฤติที่กำลังเกิดขึ้นกับครู คือ ปัจจุบันมีครูอาจารย์ทั่วประเทศประมาณ 6 แสนคน (สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ประมาณ 5 แสนคนเศษ สังกัดทบวงมหาวิทยาลัยประมาณ 2 หมื่นคนเศษ ที่เหลือสังกัดอื่น ๆ) อัตราส่วนครู คณะครุศาสตร์ สถาบันราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ช่วยราชการสถาบันราชภัฏธนบุรี ต่อนักเรียนเท่ากับ 1 : 19 แต่เงื่อนไขและมาตราการเงินกู้ของธนาคารเพื่อพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) กำหนดให้ปรับอัตราส่วนเป็น 1 : 25 ภายในปี 2545 ในขณะที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับใหม่ กำหนดให้มีการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปี ทำให้ระดับมัธยมศึกษาต้องขยายชั้นเรียนและต้องการครูเพิ่มขึ้น ซึ่งในปัจจุบันครู อาจารย์ที่สอนในระดับมัธยมศึกษาสังกัดกรมสามัญศึกษา มีจำนวนประมาณ 121,359 คน คิดเป็นอัตราส่วนต่อนักเรียนเท่ากับ 1 : 22 ภายในปี 2545 ต้องจัดการศึกษาเป็น 12 ปี ดังนั้นจึงต้องการครูอาจารย์เพิ่มขึ้น 40,000 – 60,000 คน ซึ่งนโยบายของรัฐบาลให้ยุบเลิกตำแหน่งอัตราเกษียณอายุราชการถึงร้อยละ 80 ประกอบกับกระทรวงศึกษาธิการต้องเก็บอัตราไว้บรรจุตามโครงการผลิตครูพิเศษต่าง ๆ เช่น คุรุทายาท เพชรในตม ฯลฯ ซึ่งก็ไม่เพียงพอในขณะนี้ และยังทำให้บัณฑิตใหม่ที่จบการศึกษาในช่วงปี 2541 – 2545 รวมประมาณ 1 แสนคนเศษ หรือร้อยละ 96 จะต้องตกงานหรือไปประกอบอาชีพอื่น อีกทั้งรัฐบาลยังมีโครงการเปลี่ยนเส้นทางชีวิต : เกษียณก่อนกำหนด จะยิ่งทำให้มีครู อาจารย์ส่วนหนึ่งที่จะเข้าโครงการนี้อีก ทำให้จะเพิ่มการขาดแคลนครูเพิ่มขึ้น เป็นเหตุให้ภาระงานของครูต้องรับหนักขึ้น ประการที่สอง รายได้ของครูอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ทำให้มีภาระหนี้สินเป็นจำนวนมาก ทำให้ขาดขวัญและกำลังใจ ครูจึงประกอบอาชีพเสริม คุณภาพการเรียนการสอนจึงอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างต่ำ ประการที่สาม การยอมรับในวิชาชีพครู ยังไม่ได้รับการยกย่องเท่าที่ควร ทำคนเก่งไม่อยากมาเป็นครูประกอบกับมีครูบางคนที่ประพฤติตนไม่เหมาะสมกับความเป็นครู จึงขาดความเชื่อถือ บางคนไม่มีวุฒิทางครูทำให้เข้าใจในด้านจิตวิทยาของเด็กไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้นจึงควรมีการนำใบประกาศวิชาชีพครูมาใช้อย่างจริงจัง เพราะขณะนี้ถึงแม้กระทรวงศึกษาธิการจะได้รับงบประมาณสูงสุด แต่การปฏิรูปด้านการศึกษาหากเทียบกับเพื่อนบ้าน ไทยเราเริ่มห่างออกไปทุกที ไม่สามารถจะติดอยู่ในอันดับต้น ๆ ได้จะเห็นได้จากการจัดลำดับการศึกษาในแถบเอเชีย ไทยยังตามหลังมาเลเซียเพื่อนบ้าน หากปฏิรูปการศึกษาไทยยังทำแบบเชื่องช้า ไม่รวดเร็วแล้ว จะยิ่งทำให้ไทยล้าหลัง ห่างไกลไปอีก ดังนั้นครูจึงต้องร่วมมือร่วมใจที่จะรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ก้าวเข้าสู่ยุค ค.ศ.2000 ครูต้องปรับตนเองให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังมาสู่เราให้ได้ ตามทัศนะของ ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช ที่กล่าวถึงครูในอนาคต (ในหนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 4 มกราคม 2542 อ้างในสำนักงานสภาสถาบันราชภัฏ, 2542) เกี่ยวกับเรื่องครูอินเตอร์ ปี 2000 ว่า “ครู คือ ส่วนหนึ่งในการนำสังคม ครูไทยต้องเป็นครู International มีทั้งด้านภาษา คอมพิวเตอร์ และความคิด ยิ่งในยุคเทคโนโลยีกำลังก้าวหน้า ครูต้องมีจิตสำนึกในความเป็นครู เพราะไม่เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรดีกว่าสิ่งที่คอมพิวเตอร์มี” และ “เมื่อครูในฐานะที่ไม่ใช่แกนหลัก หรือส่วนนำของสังคมแล้ว อาชีพครูจึงควรได้รับการทบทวนในแง่ที่ว่า ครูมีอะไรให้เด็กในสิ่งที่คอมพิวเตอร์ไม่มีบ้าง? อย่างหนึ่งที่ครูควรจะมีคือ ความสำนึกในจิตใจเพราะหากครูปราศจากความสำนึกแล้ว ครูไม่มีอะไรเหนือกว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่” “หากครูจะมีประโยชน์ต่ออนาคตของชาติแล้ว ครูจะต้องเข้าใจและอาศัยทักษะจึงจะให้ความรู้แก่ศิษย์ได้ ดังนั้น ทักษะที่ครูจะพึงมี 3 ประการ ที่อาจเรียกได้ว่าไตรสิกขาในโลกอนาคตคือ ภาษาอังกฤษ ภาษาที่สองของไทย เนื่องจากช่วยให้เข้าถึงความรู้ได้มากขึ้น นอกจากภาษาอังกฤษแล้วครูต้องมี ทักษะการคิด เพราะจะช่วยให้เข้าใจการเปลี่ยนแปลง และช่วยรักษาความเป็นครูที่สิ่งใดมาทดแทนไม่ได้ ทักษะการคิดทำให้เนื้อหาสาระมีคุณค่าเพิ่มขึ้น และยังเป็นปัจจัยตัดสินอนาคตของชาติ คือ เมื่อทุกคนในชาติรู้จักคิด ก็สามารถแสวงหาและแยกแยะข้อมูล ข่าวสารได้ และที่สำคัญ คือ จริยธรรมของการคิดที่มิใช่จะหาประโยชน์จากหน้าที่ ซึ่งเป็นเงื่อนไขแรกของการเป็นครู ข้อสุดท้าย คือ ทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ เพราะความรู้ที่เคยบรรจุในตำราจะย้ายมาสู่ ซีดี – รอม และเว็บไซด์ต่าง ๆ และยังจะเป็นสื่อสำคัญในการเรียนการสอนในอนาคต คงต้องได้รับการตรวจสอบมากขึ้น เพราะครูที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ จะช่วยเด็กได้อย่างไร” ดังนั้นลักษณะครูที่ดีในอนาคต ควรจะมีความเมตตา เสียสละ หมั่นเพียรศึกษา ปรับปรุง วิธีการเรียนการสอนให้เหมาะสมอยู่เสมอ และต้องเอาใจใส่ทำความเข้าใจเด็กทุกคน รวมทั้งครูควรมีบทบาทให้เด็ก รู้จักเลือกสรร แยกแยะตรวจสอบข้อมูลข่าวสาร ทั้งช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้เด็ก ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญกว่าเนื้อหาที่เด็กจะได้รับ และสิ่งที่ควรจะทำมากที่สุด ก็คือ ความเป็นแบบอย่างที่ดี เพราะจะเป็นการสอนที่ดีที่สุด สังคมไทยเป็นสังคมเปิด ในอนาคตองค์ความรู้การเรียนของสังคมก็จะเปิดรับการศึกษามากขึ้น เราน่าจะมีนโยบายสร้างครู International มากกว่าโรงเรียน Inter เพราะครู International หมายถึง ครูที่พัฒนาตนเองให้เข้าใจและรู้จักโลกใหม่ โดยคงความเป็นไทยไว้ เราต้องหันมาให้ความสำคัญของโรงเรียนอนุบาล ประถม และมัธยม ให้มากกว่านี้ เพื่อช่วยให้ครูมีศักดิ์ศรี มีความภูมิใจในความเป็นครู ดังพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเกี่ยวกับผู้เป็นครูว่า “……งานของครูในงานพิเศษ ผิดแปลกกว่างานอื่น ๆ กล่าวในแง่หนึ่งที่สำคัญก็คือว่า ครูจะหวังผลตอบแทนเป็นยศศักดิ์ ความร่ำรวย หรือประโยชน์ทางวัตถุเป็นที่ตั้งไม่ได้ ผลได้ส่วนสำคัญจะเป็นผลทางใจ ซึ่งผู้เป็นครูแท้ ก็พึงใจและภูมิใจอยู่แล้ว …….” 9 ตุลาคม 2516 “……..จะต้องฝึกฝนตนเองให้แตกฉานและแม่นยำ ชำนาญ ทั้งในวิชาความรู้ และวิธีสอน เพื่อสามารถสั่งสอนให้อย่างกระจ่างแจ้งและถูกต้องสมบูรณ์…….” 17 มิถุนายน 2524 และยังทรงให้ข้อคิดแก่ “ครู” ว่า “……..ผู้เป็นครูอย่างแท้จริงนับว่าเป็นบุคคลพิเศษ ต้องแผ่เมตตาและเสียสละ เพื่อความสำเร็จ ความก้าวหน้า และความสุข ความเจริญของผู้อื่นอยู่ตลอดชีวิต…….” 13 ตุลาคม 2540 จากพระราชดำรัสและข้อคิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานให้แก่ครูทั้งหลาย เพื่อจะได้พึงระลึกและนำไปสู่การปฏิบัติสมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นครูที่แท้จริง ในวาระมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม 2542 ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน

บทความของ รศ.วิไล ตั้งสมจิตสมคิด
สถาบันราชภัฎธนบุรี
ที่มา http://come.to/wilai

แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 10

แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 10
1. จงอธิบายแนวคิดของระบบวิสาหกิจ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบสารสนเทศต่างๆ ขององค์กร
- 1. ช่วยสนับสนุนการปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์การและวัฒนธรรมองค์การที่ดีขึ้น
2. ช่วยสนับสนุนการปรับปรุงรายงานและการตัดสินใจที่ดีขึ้น
3. เพื่อสนับสนุนการรวมตัวของแพลตฟอร์มเทคโนโลยีและสภาพแวดล้อมของระบบสารสนเทศให้เป็นหนึ่งเดียว
2. ในส่วนมิติด้านความสามารถในการประกอบธุรกิจมีความเกี่ยวข้องกับการบูรณาการทางธุรกิจอย่างไร
- มีความเกี่ยวข้องกันเนื่องจากมิติความสามารถในการประกอบธุรกิจและการบูรณาการทางธุรกิจ คือ การขายการผลิต การเงิน และโลจิสติกส์ เข้าด้วยกันเป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้าในส่วนของผลิตภัณฑ์และสารสนเทศ
3. ผู้จัดหาวัสดุเพื่อป้อนเข้าสู่โรงงานผลิตสินค้าจัดอยู่ในโครงสร้างใดของโซ่อุปทาน
- โครงสร้างของโซ่อุปทาน (แหล่งต้นทาง)
4.การขายหนังสือบนเว็บที่มีจัดส่งเนื้อหาในรูปแบบดิจิทัล ประกอบด้วยสายงานใดบ้างภายใต้โซ่อุปทาน
- รายงานด้านสารสนเทศและสายงานด้านการเงิน
5. บุลวิป เอฟเฟก คือปัญหาเรื่องใดภายใต้โซ่อุปทานจงอธิบาย
- จากความไม่แน่นอนซึ่งเกิดจากหลายปัจจัย เช่น การพยากรณ์ความต้องการสินค้าและบริการของลูกค้า และความไม่แน่นอนด้านระยะยเวลาการขนส่งสินค้าและความไม่แน่นอนจากการตั้งค่าระดับสินค้าคงเหลือของชิ้นส่วนที่ใช้ภายใต้โซ่อุปทาน
6. อาร์เอฟดีไอ คือ เทคโนโลยีที่ช่วยสนับสนุนการจัดการโซ่อุปทานอย่างไร
- คือ กิจการจะสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ค้าปลีก ตัวแทนจำหน่ายและผู้ผลิตโดยองค์การจะให้ผู้จัดหารายใหญ่แนบป้ายระบุความถี่วิทยุ ติดกับแท่นวางสินค้าหรือกล่องสินค้าในระหว่างที่ขนส่งสินค้ามายังองค์การและใช้ป้ายนี้เป็นเครื่องมือสื่อสารข้อมูลการขนส่งสินค้าภายในองค์การ รวมทั้งการนำเสนอสารสนเทศด้านสินค้าคงเหลือต่อหุ้นส่วนธุรกิจและผู้จัดหาทุกระดับชั้นอันก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์การ

7.จงยกตัวอย่างสื่อที่ใช้ภายใต้ระบบประยุกต์ด้านสัมผัสลูกค้า
- ระบบการสื่อสารด้านการจัดการลูกค้าสัมพันธ์คือ ระบบที่มุ่งเน้นในการที่จะได้ลูกค้ามาและธำราลูกค้าเหล่านั้นไว้ เป้นต้น
8. จงยกตัวอย่างบริการขั้นพื้นฐานของ อี – ซีอาร์เอ็ม
- ตัวอย่างขั้นพื้นฐานของ อี – ซีอาร์เอ็ม เช่น อีเมล เครื่องปลายทาง ณ จุดขาย ศูนย์บริการทางโทรศัพท์และการขายตรงเพื่อจัดการงานด้านลูกค้าสัมพันธ์ การตั้งราคาผลิตภัณฑ์ การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัล และการออกแบบโปรแกราด้านความจงรักภักดีต่อผลิตภัณฑ์
9. ระบบสารสนเทศด้านการจัดการความรู้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับระบบสารสนเทศด้านการวางแผนทรัพยากรองค์กรอย่างไร
- เนื่องจากระบบสารสนเทศการจัดการความรู้ประกอบไปด้วยความรู้และความชำนาญ ซึ่งความรู้เหล่านี้จะช่วยแก้ปัญหาที่เกิดจากการทำงานที่มักมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เฉกเช่นกับการวางแผนทรัพยากรองค์การ คือ การนำเทคโนโลยีในด้านต่างๆมาประยุกต์ใช้ในการวางแผนทางธุรกิจเพื่อให้ธุรกิจมีความประสบผลสำเร็จตามวัตถุปรสงค์ที่ตั้งไว้
10. การแพร่กระจายความรู้ทั่วทั้งองค์การ จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านใดบ้าง
- เทคโนโลยีด้านเครือข่ายและการสื่อสารข้อมูล

สรุปบทที่ 10

บทที่ 10 ระบบสารสนเทศยุคโลกาภิวัตน์
1. ความหมาย
ระบบสารสนเทศยุคโลกาภิวัตน์ คือ ระบบที่มีการเชื่อมโยงระบบสารสนเทศต่างๆ เข้าด้วยกัน อาจจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีด้านเครือข่ายและสื่อสารข้อมูลเข้าร่วมด้วยเพื่อให้เกิดการแพร่กระจายสารสนเทศทั้งภายในและภายนอกองค์การโดยเฉพาะในส่วนของกิจกรรมด้านโซ่อุปทานและการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ ตลอดจนการใช้สารสนเทศเพื่อการจัดการและการตัดสินใจทางธุรกิจในระดับสูง
2. วิวัฒนาการ
ธุรกิจได้นำระบบคอมพิวเตอร์มาใช้เพื่อจัดการงานตามสายงานของโซ่อุปทานเพื่อทดแทนการทำงานภายใต้ระบบมือที่ล่าช้าและมักเกิดข้อผิดพลาดอยู่เสมอ มีการใช้ซอฟแวร์ด้านการจัดการสินค้าคงเหลือ การจัดสรรทรัพยากรและวัสดุ เพื่อช่วยเร่งกระบวนการทำงานให้เร็วขึ้น อีกทั้งยังมีผลให้ลดต้นทุนและลดข้อผิดพลาดในการทำงานได้ด้วย แต่การทำงานคงจำกัดอยู่บนเฉพาะพื้นที่งานที่เกี่ยวข้องและมีความเป็นอิสระจากพื้นที่งานอื่นๆ
ดังนั้นจึงมีการพัฒนาแบบจำลองด้านการวางแผนความต้องการวัสดุขึ้น โดยเกิดจากการรวมตัวของงานด้านการผลิต การจัดซื้อ การจัดการสินค้าคงเหลือ ตลอดจนการมรปฏิสัมพันธ์กับผลิตภัณฑ์ อันจะส่งผลถึงการลดต้นทุนการดำเนินงานและการเพิ่มสมรรถนะของระบบคอมพิวเตอร์ให้สูงขึ้น ทั้งยังมุ่งเน้นงานด้านการปรับปรุงข้อมูลรายวันด้วย ดังนั้นจึงมีการพัฒนาโปรแกรมการวางแผนความต้องการวัสดุ (เอ็มอาร์พี) วางจำหน่ายอย่างแพร่หลายในตลาดซอฟแวร์เพื่อใช้ประโยชน์ในการลดระดับสินค้าคงคลังและการปรับปรุงงานด้านต่างๆของโซ่อุปทานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
วิวัฒนาการขั้นต่อไป คือ การบูรณาการระบบสารสนเทศตามหน้าที่งานของธุรกิจเข้าด้วยกัน นำไปสู่การวางแผนทรัพยากรองค์กร (อีอาร์พี) มีฟังก์ชันการทำงานที่เพิ่มขึ้นของเอ็มอาร์พี II ด้วยการเชื่อมต่อระบบประมวลผลธุรกรรม (ทีพีเอส) เข้ากับระบบสารสนเทศตามหน้าที่งานแนวไขว้
3. การบูรณาการด้านซอฟแวร์
องค์การจำเป็นต้องมีการบูรณาการด้านซอฟแวร์ของระบบสารสนเทศใน 2 รูปแบบดังนี้
3.1 การบูรณาการภายในองค์การ หมายถึง การรวมตัวของระบบประยุกต์ด้านต่างๆ
3.2 การบูรณาการภายนอกองค์การหมายถึง การรวมตัวของระบบประยุกต์และฐานข้อมูลระหว่างธุรกิจ
ระบบวิสาหกิจ
ระบบสารสนเทศที่เป็นตัวแทนของระบบสารสนเทศยุคโลกาภิวัตน์ ชื่อเต็มว่า ระบบสารสนเทศวิสาหกิจ ซึ่ง Turban et al จำกัดความไว้ว่า ระบบวิสาหกิจคือ ระบบหรือกระบวนการที่มีความเกี่ยวข้องกับขอบเขตงานทั่วทั้งองค์กรหรืองานมนหน้าที่หลักขององค์การ จัดเป็นระบบสารสนเทศที่มีความแตกต่างจากระบบสารสนเทศตามหน้าที่งาน มักถูกจำกัดขอบเขตในแต่ละแผนกหรือในแต่ละพื้นที่งานอย่างชัดเจน
O brien กล่าวไว้ว่า การดำเนินธุรกิจในปัจจบันมักจะมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาระบบวิสาหกิจด้านหน้าที่งานแนวไขว้ คือ หน้าที่งานหนึ่งซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบร่วมกันของสองหน่วยงาน ทั้งหน้าที่งานด้านการทดสอบตลาด อาจอยู่ในความรับผิดชอบร่วมกันของฝ่ายวิจัยและพัฒนาและฝ่ายการตลาด
Laudon and Laudon ระบุถึงผลประโยชน์ที่องค์การควรจะได้ใช้จากการใช้ระบบวิสาหกิจที่มุ่งเน้นการบูรณาการกระบวนการทางธุรกิจให้อยู่ภายใต้การทำงานระบบเดียว ผลประโยชน์เหล่านี้จะอยู่ภายใต้การเปลี่ยนแปลงมิติต่างๆ ดังนี้
มิติที่ 1 โครงสร้างองค์กร
มิติที่ 2 กระบวนการจัดการที่มุ่งเน้นการจัดการฐานความรู้ทั่วทั้งองค์กร
มิติที่ 3 แพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่มีการรวมตัวเป็นหนึ่งเดียว
มิติที่ 4 ความสามารถในการประกอบธุรกิจ
ระบบสารสนเทสด้านการจัดการโซ่อปทาน
โซ่อุปทาน หมายถึง สายงานทางด้านวัสดุ สารสนเทศและเงินรวมทั้งบริการต่างๆ จากผู้จัดหาวัตถุดิบซึ่งไหลผ่านโรงงาน โดยมีการสร้างและส่งมอบสินค้าและบริการแก่ลูกค้าโดยหมายรวมถึงภาระหน้าที่งานด้านต่างๆ
การจัดการโซ่อุปทานหรือ เอสซีเอ็ม คือ การวางแผนการจัดโครงสร้าง และการทำให้เกิดผลที่ดีที่สุดต่อกิจกรรมใดๆ ของโซ่อุปทาน มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสนับสนุนแนวคิดด้านการจัดการโซ่อุปทาน
โซ่อุปทานอิเล็กทรอนิกส์ คือ การจัดการโซ่อุปทานโดยใช้ในระบบอิเล็กทรอนิกส์มักใช้ร่วมกับระบบบนเว็บ มุ่งเน้นที่จะปรับปรุงประสิทธิภาพของโซ่อุปทานให้ดีขึ้น เกี่ยวข้องกับการปรับเปลี่ยนกระบวนการทางธุรกิจของโซ่อุปทานแบบเดิมให้เป็นระบบที่มีการไหลของสารสนเทศอย่างต่อเนื่องภายใต้โซ่อุปทานอิเล็กทรอนิกส์ จำแนกหัวข้อย่อยได้ 6 หัวข้อ ดังนี้
1. สายงานด้านโซ่อุปทาน
Turban et al ได้จำแนกถึงสายงานด้านโซ่อุปทานออกเป็น 3 รูปแบบดังนี้
1.1 สายงานด้านวัสดุ หมายถึง ผลิตภัณฑ์ทางกายภาพทั้งหมด
1.2 สายงานด้านสารสนเทศ หมายถึง ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความต้องการวัสดุ การลำเลียง วัสดุ การรับคำสั่งซื้อ
1.3 สายงานด้านการเงิน หมายถึง ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการโอนเงิน การจ่ายเงินสารสนเทศ
2. โครงสร้างและระดับชั้นของผู้จัดหา
2.1 โครงสร้างของโซ่อุปทาน มีความเกี่ยวข้องกับ 3 ส่วนงานดังนี้
2.1.1 แหล่งต้นทาง คือ แหล่งวัสดุภายในองค์การหรืออาจทำการจัดหาจากผู้ขายวัสดุภายนอกองค์การ
2.1.2 แหล่งภายใน คือ แหล่งที่มีการบรรจุ การประกอบ การผลิตสินค้าและบริการเกิดขึ้น
2.1.3 แหล่งตามทาง คือ แหล่งกระจายวัสดุ อาจเป็นการกระจายโดยผู้แทนจำหน่ายภายนอกองค์การ
2.2 ระดับชั้นของผู้จัดหา คือ องค์ประกอบหนึ่งของโซ่อุปทานโดยปกติจะมีหลายระดับชั้นหรือมีเพียงระดับชั้นเดียวขึ้นอยู่กับแต่ละกระบวนการในบางกระบวนการที่ประกอบด้วยผู้จัดหาหลายระดับชั้น
3. การออกแบบโซ่อุปทาน
มีการจำแนกรูปแบบของโซ่อุปทานออกเป็น 4 ประเภท คือ การผลิตเป็นสินค้าคงคลังแบบบูรณาการ การเติมเต็มสินค้าอย่างต่อเนื่อง การผลิตตามคำสั่ง ช่องทางการประกอบชิ้นส่วน ดังนั้นในการออกแบบโซ่อุปทานธุรกิจจึงควรเลือกรูปแบบที่เหมาะสมกับธุรกิจ
สำหรับการออกแบบที่ดีจะต้องบรรลุเป้าหมายด้านการลดความไม่แน่นอนและความเสี่ยงตามสายงานของโซ่อุปทาน ดังนั้น การลดระดับสินค้าคงเหลือและเวลาที่ใช้ภายใต้วัฏจักรโซ่อุปทานโดยอาศัยการปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจและงานด้านการบริการลูกค้ามีผลทำให้ธุรกิจทำกำไรได้เพิ่มขึ้นและสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งขัน
4. ปัญหาด้านโซ่อุปทาน
มีสาเหตุมาจากภายในองค์การเองอันเนื่องจากความยาวและความซับซ้อนของโซ่อุปทานนั้น หรืออาจจะมีสาเหตุมาจากภายนอกองค์การรวมทั้งในกรณีที่มีสัมพันธมิตรมาเกี่ยวข้องด้วย ส่วนสาเหตุของปัญหาที่มักเกิดขึ้นในสายงานด้านโซ่อุปทานมี 2 ประการคือ
ประการที่ 1 จากความไม่แน่นอน มีปัจจัยหลายประการส่งผลต่อการพยากรณ์ความต้องการสินค้าและบริการของลูกค้าแต่ธุรกิจไม่สามารถควบคุมปัจจัยเหล่านี้ได้แต่สามารถวัดความไม่แน่นอนได้ทันทีโดยใช้กลยุทธ์ด้านสารสนเทศและการสร้างแรงกระตุ้นด้านความต้องการผลิตภัณฑ์ช่วยสนับสนุน อาจเกิดจากความไม่แน่นอนด้านระยะเวลาการขนส่งสินค้าและความไม่แน่นอนจากการตั้งค่าระดับสินค้าคงเหลือของเพิ่มขึ้นหรือลดลงจากโซ่อุปทาน ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนของสารสนเทศและการเปลี่ยนแปลงความต้องการผลิตภัณฑ์อย่างรวดเร็วจึงกระทั่งเกิดโลจิสติกส์สวนกลับหรือการส่งวัสดุหรือผลิตภัณฑ์คืนภายใต้โซ่อุปทานหรือสาเหตุหนึ่งคือ ในช่วงระหว่างการขายปลีกเกิดปัญหาด้านสินค้าคงเหลือส่วนเกินจำเป็นต้องส่งคืนกลับไปยังผู้จัดจำหน่ายเป็นทอดๆไป
ประการที่ 2 จากความต้องการประสานงานในกิจกรรมที่หลากหลายภายในหน่วยธุรกิจและหุ้นส่วนธุรกิจ อาจใช้วิธีแบ่งปันสารสนเทศมาใช้เพื่อปรับปรุงการงานภายใต้โซ่อุปทาน ช่วยลดความไม่แน่นอนดังกล่าวได้ด้วย

5. การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
แนวทางปกติที่ธุรกิจนำมาใช้คือ การใช้วิธีการสินค้าคงคลังเพื่อรับประกันว่าสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาสินค้าหรือชิ้นส่วนขาดมือได้ แต่อาจทำให้ต้นทุนรวมของสินค้าสูงได้ ดังนั้นองค์การจึงอาจเลือกใช้เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยแก้ปัญหา มี 5 วิธีการดังนี้
5.1 การแบ่งปันด้านสารสนเทศ
5.2 การใช้เทคโนโลยีการกำหนดความถี่วิทยุหรือ อาร์เอฟไอดี
5.3 การเปลี่ยนโซ่อุปทานเส้นตรงเป็นฮับ
5.4 ความร่วมมือด้านโซ่อุปทาน
5.5 โรงงานเสมือน
6. ผลประโยชน์ที่ได้รับ
O brien ได้ระบุถึงประโยชน์ของเอสซีเอ็มที่มีศักยภาพต่อธุรกิจ ดังนี้
1. ธุรกิจสามารถดำเนินกิจกรรมภายใต้โซ่อุปทานได้อย่างรวดเร็ว
2. ธุรกิจสามารถลดระดับสินค้าคงคลัง
3. ธุรกิจสามารถส่งมอบสินค้าเข้าสู่ตลาด
4. ธุรกิจสามารถสร้างสัมพันธ์เชิงกลยุทธ์กับผู้หาและหุ้นส่วนธุรกิจ
ระบบสารสนเทศด้านการจัดการลูกค้าสัมพันธ์
1. แนวคิดและความหมาย
Turban et al. (2006, p. 318) นิยามไว้ว่า การจัดการลูกค้าสัมพันธ์เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ซีอาร์เอ็ม หมายถึง ความพยายามทั่วทั้งองค์การที่จะได้ลุกค้ามา อีกทั้งธำรงรักษาลูกค้านั้นไว้ ตระหนักว่าลูกค้าคือ แกนหลักของธุรกิจ ดังนั้น ความสำเร็จของธุรกิจจะขึ้นกับงานด้านซีอาร์เอ็มอย่างมีประสิทธิผล โดยมีการมุ่งเน้นถึงการสร้างความสัมพันธ์และการคงไว้ซึ่งความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว
O brien (2005, p. 219) ระบุถึงวัตถุประสงค์ 2 ข้อ ดังนี้
ข้อที่ 1 เพื่อสนับสนุนให้องค์การและลูกจ้างขององค์การสามารถเผชิญหน้ากับลูกค้ารายบุคคลในทุกๆมุมมองของการสัมผัสลูกค้าผ่านช่องทางต่างๆ
ข้อที่ 2 เพื่อสนับสนุนลูกค้ารายบุคคลให้มีภาพพจน์ที่ดีต่อบริษัท ตลอดจนมีการขยายช่องทางผ่านการจำหน่ายที่หลากหลายรูปแบบ โดย Turban et al. (2006, p. 318) ได้จำแนกประเภทของระบบประยุกต์ดังนี้
1.1 ระบบประยุกต์ด้านเผชิญหน้ากับลูกค้า
1.2 ระบบประยุกต์ด้านสัมผัสลูกค้า
1.3 ระบบอัจฉริยะด้านรวมศูนย์ลูกค้า
ดังนั้นการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ที่ดีมีประสิทธิภาพเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้จำเป็นต้องใช้ระบบประยุกต์ด้านเครือข่ายออนไลน์ เข้าร่วมด้วยซึ่งใช้เครือข่ายออนไลน์เข้าร่วมเพื่อแสวงหาโอกาสและการสร้างความสัมพันธ์ส่วนบุคคลกับบุคคลต่างๆ ในวงการธุรกิจ
2. รูปแบบของการจัดการลูกค้าสัมพันธ์
Turban et al. (2006, p. 318) จำแนกรูปแบบหลักของการจัดการลูกค้าสัมพันธ์หรือ ซีอาร์เอ็มออกเป็น 4 รูปแบบ
2.1 ซีอาร์เอ็มเชิงกิจกรรม
2.2 ซีอาร์เอ็มเชิงปฏิบัติการ
2.3 ซีอาร์เอ็มเชิงวิเคราะห์
2.4 ซีอาร์เอ็มเชิงร่วมมือ
3. เทคโนโลยีด้านการจัดการลูกค้าสัมพันธ์
3.1 ซอฟแวร์ซีอาร์เอ็ม O brien (2005, p. 219) ได้จำแนกประเภทซอฟแวร์ซีอาร์เอ็มเป็น 5 ประการดังนี้
3.1.1 การใช้ซอฟแวร์ด้านการติดต่อลูกค้า
3.1.2 การใช้ซอฟแวร์ด้านการขาย
3.1.3 การใช้ซอฟแวร์ด้านการตลาด
3.1.4 การใช้ซอฟแวร์ด้านการบริการและสนับสนุนลูกค้า
3.1.5 การใช้ซอฟแวร์ด้านการธำรงรักษาลูกค้าและสร้างโปรแกรมความจงรักภักดี
3.2 การจัดการลูกค้าสัมพันธ์อิเล็กทรอนิกส์หรือ ซีอาร์เอ็ม โดยระบบนี้เริ่มพัฒนาขึ้นตั้งแต่องค์การเริ่มใช้โปรแกรมค้นดูเว็บอินเทอร์เน็ตและจุดสัมผัสอิเล็กทรอนิกส์
Turban et al. (2006, p. 318) ได้ทำการจำแนกขอบเขตที่แตกต่างกันของซีอาร์เอ็ม ได้ 3 ระบบดังนี้
ระดับที่ 1 การบริการขั้นพื้นฐาน
ระดับที่ 2 ศูนย์บริการลูกค้า
ระดับที่ 3 ระบบบริการลูกค้าบนเว็บ คือ การบริการลูกค้าบนเว็บสามารถทำได้หลายรูปแบบดังนี้
3.3.1 ความสามารถด้านการค้นหาและเปรียบเทียบร้านค้าออนไลน์บนเว็บ
3.3.2 การเสนอผลิตภัณฑ์และบริการฟรี
3.3.3 การสั่งทำสินค้าและบริการ
3.4 ซีอาร์เอ็มไร้สาย สำหรับเครื่องมือซีอาร์เอ็มในระบบไร้สาย เช่น หน่วยขายอัตโนมัติเคลื่อนที่และระบบบริการลูกจ้างไร้สาย ให้บริการแก่สารสนเทศแก่ลูกจ้างในขณะที่ปฏิบัติงาน ณ สำนักลูกค้ากำลังเป็นที่นิยมตลอดจนมีการใช้เอสเอ็มเอสและอีเมล์จากโทรศัพท์มือถือเป็นตัวเสริมการทำงานด้วย
3.5 ศูนย์บริการทางโทรศัพท์ เป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดของงานบริการลูกค้า ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการเผชิญหน้าขององค์การกับลูกค้า
4. ผลประโยชน์ที่ได้รับ
1. ธุรกิจสามารถบ่งชี้ถึงลูกค้าและตั้งเป้าหมายที่ดีแก่ลูกค้านั้น ก่อให้เกิดกำไรสูงสุดของธุรกิจตามมา
2. ธุรกิจสามารถสะสมลูกค้าได้มากยิ่งขึ้นด้วยการสร้างงานบริการที่ก่อให้เกิดผลกำไร
3. ธุรกิจสามารถรองรับความต้องการด้านผลิตภัณฑ์และบริการส่วนบุคคลที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความต้องการ
4. ธุรกิจสามารถสร้างรายการติดต่อลูกค้าได้ทุกเมื่อที่ต้องการโดยไม่ต้องคำนึงถึงจุดติดต่อใดๆจากความต้องการของลูกค้า
5. ธุรกิจสามารถให้การสนับสนุนที่สอดคล้องกับประสบการณ์ของลูกค้าด้วยบริการที่นอกเหนือจากความต้องการของลูกค้า
ระบบสารสนเทศด้านการวางแผนทรัพยากรองค์กร
O brien (2005, p. 219) นิยามไว้ว่า ระบบสารสนเทศด้านการวางแผนทรัพยากรองค์กรหรือ อีอาร์พี คือ เทคโนโลยีหนึ่ง ถือเป็นกระดูกสันหลังของธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งการประมวลผลธุรกรรมบริเวณกว้างของวิสาหกิจที่เชื่อมโยงกระบวนการทางธุรกิจต่างๆ เข้าด้วยกัน
1. การบูรณาการกระบวนการทางธุรกิจหลัก
Laudon and Laudon (2005, p. 219) กล่าวไว้ว่า ระบบอีอาร์พีคือ ระบบวิสาหกิจหนึ่ง มีจุดมุ่งเน้นในส่วนของการบูรณาการตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเชื่อมโยงมอดูลต่างๆของซอฟแวร์กับฐานข้อมูลรวมขององค์การเริ่มตั้งแต่การเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อจัดเก็บภายในบานข้อมูล การป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบประยุกต์ซึ่งใช้สนับสนุนงานเกือบทั้งหมดของกิจกรรมภายในองค์การ สารสนเทศนั้นจะถูกประมวลผลทันทีเพื่อสามารถนำไปใช้ประโยชน์สำหรับกระบวนการทางธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ระบบยังสามารถสร้างข้อมูลส่วนขยายขององค์การสำหรับการวิเคราะห์ด้านการจัดการต้นทุนและความสามารถทำกำไรของผลิตภัณฑ์ต่างๆ
การเริ่มใช้งานระบบอีอาร์พีจึงเปรียบเสมือนตัวเร่งให้ธุรกิจทำการปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจขององค์การให้ดีขึ้นทั้งในส่วนกระบวนการทางธุรกิจหลักและในส่วนกระบวนการทางธุรกิจของการเชื่อมต่อกับระบบสารสนเทศอื่น โดยอาศัยซอฟแวร์ด้านเครื่องมือที่สำคัญช่วยสนับสนุน
2. วิธีปฏิบัติที่ดีที่สุด
การพัฒนาซอฟแวร์ อีอาร์พี ตั้งอยู่บนพื้นฐานความรู้ด้านกระบวนการทางธุรกิจและวิธีปฏิบัติที่ดีที่สุดโดยซอฟแวร์จะนำเสนอทางเลือกที่เป็นแบบฉบับของธุรกิจประสบผลสำเร็จหรือทางเลือกด้านวิธีการจัดหาอุปกรณ์ใหม่ และจัดทำแผนที่กระบวนการเพื่อแสดงถึงขั้นตอนที่ต้องกระทำเพื่อให้กระบวนการถูกดำเนินอย่างสมบูรณ์แบบ
3. วิวัฒนาการด้านการพัฒนาซอฟแวร์
ซอฟแวร์ด้าน อีอาร์พี คือ สถาปัตยกรรมด้านซอฟแวร์หนึ่งเดียวหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าซอฟแวร์เบ็ดเสร็จ มีการรวมตัวด้านการวางแผน การจัดการและการใช้ทรัพยากรทั่วทั้งองค์การและประกอบด้วยชุดคำสั่งของระบบประยุกต์ที่ครอบคลุมถึงการปฏิบัติงานประจำส่วนหลังโดยอัตโนมัติ ดังนั้นการใช้ซอฟแวร์อีอาร์พีจึงมุ่งสู่การเพิ่มประสิทธิภาพของงานการปรับปรุงคุณภาพ การเพิ่มผลผลิต และความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจ จำแนกได้ 3 รุ่นดังนี้
3.1 ซอฟแวร์อีอาร์พีรุ่นที่หนึ่ง มุ่งเน้นถึงกิจกรรมภายในองค์การเป็นงานเป็นที่ทำซ้ำๆ กันในทุกๆวันทำการ โดยมีการรวมตัวของระบประยุกต์หลายๆระบบเข้าด้วยกัน
3.2 ซอฟแวร์อีอาร์พีรุ่นที่สอง มุ่งเน้นถึงการเพิ่มพลังอำนาจที่มีอยู่เดิมของระบบสารสนเทศ ทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการธุรกรรมการตัดสินใจที่ดีขึ้น มีการเปลี่ยนวิถีทางการทำธุรกิจเพื่อเข้าสู่ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีการรวมตัวของระบบอีอาร์พีกับระบบเอสซีเอ็มที่มุ่งเน้นงานด้านการตัดสินใจมากยิ่งขึ้น
ขั้นต่อไปของการพัฒนาซอฟแวร์อีอาร์พีรุ่นที่สองคือ การเพิ่มขีดความสามารถด้านการวิเคราะห์และตัดสินใจมากยิ่งขึ้นจึงมีกี่เพิ่มผลิตภัณฑ์หลักในส่วนของอัจฉริยะทางธุรกิจ (บีไอ) เพื่อใช้เสริมสร้างการทำงานภายใต้โซ่อุปทานให้เกิดผลดีที่สุด
3.3 ซอฟแวร์อีอาร์พีรุ่นที่สาม มุ่งเน้นถึงการรวมตัวเข้ากับระบบบริหารโครงการ ดังนี้
1. เป็นการผสมผสานการทำงานกับหน่วยทำงานด้านโลจิสติกส์
2. เป็นการผสมผสานการทำงานของศูนย์กระจายสินค้า
3. เป็นการรองรับการเปลี่ยนแปลงแหล่งผลิตภัณฑ์ของการผลิต
4. เป็นการแบ่งปันด้านการผลิต
5. เป็นการรวมฐานทางการขาย
6. เป็นการสร้างศูนย์รวมของผู้ขายผลิตภัณฑ์
4. การบูรณาการระบบสารสนเทศ
4.1 การบูรณาการเข้ากับซอฟแวร์ด้านการจัดการโซ่อุปทาน ซอหแวร์ด้านอีอาร์พีจะมุ่งเน้นถึงวิธีการได้คำสั่งซื้อนั้นมาและการทำคำสั่งซื้อให้บรรลุผลแต่ซอฟแวร์ด้านเอสซีเอ็มจะมุ่งเน้นความเป็นไปได้ของการได้มาซึ่งคำสั่งซื้อ มีการวางแผนและการตัดสินใจภายใต้ส่วนงานต่างๆของโซ่อุปทาน ด้วยจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกันนี้จึงมีการใช้ซอฟแวร์อีอาร์พีพั่อช่วยสนับสนุนการทำงานของเอสซีเอ็ม มีจุดเน้นถึงการทำงานในทุกขั้นตอนของโซ่อุปทานส่งผลให้ภาพพจน์และจุดมุ่งหมายของอค์การมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ในส่วนทางเลือกของการรวมตัวของซอฟแวร์ด้านอีอาร์พีและเอสซีเอ็มคือ การเชื่อมต่อวอฟแวร์สองตัวซึ่งถูกพัฒนาโดยผู้ขายที่ต่างกันด้วยการใช้ตัวเชื่อมต่อมิดเดิลแวร์ เพื่อช่วยลดขั้นตอนที่ซับซ้อนของการเชื่อมต่อซอฟแวร์ ทั้งรองรับด้านความต้องการดานความสอดคล้องเข้ากันได้ของซอฟแวณืที่ต่างๆ
4.2 การบูรณาการเข้ากับซอฟแวร์ของระบบวิสาหิจอื่นๆ นอกจากมีการบูรณาการอีอาร์พีเข้ากับเอสซีเอ็มแล้ว อีอาร์พียังถูกนำมาบูรณาการเข้ากับซอฟแวร์ของระบบวิสาหกิจอื่นโดยเฉพาะซอฟแวร์ของระบบอีคอมเมิร์ชและซีอาร์เอ็ม ซึ่งได้แพร่กระจายมากในการใช้งานภายในองค์การขนาดเล็ก
5. ผลประโยชน์ที่ได้รับ
O brien (2005, p. 219) นิยามไว้ว่า การประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศด้านการวางแผนทรัพยากรองค์การ (อีอาร์พี) สามารถสร้างมูลค่าหลักแก่ธุรกิจดังนี้
5.1 ด้ารคุณภาพและประสิทธิภาพ
5.2 ด้านการลดต้นทุน
5.3 ด้านการตัดสินใจ
5.4 ด้านความเร็วของธุรกิจ
ระบบสารสนเทศด้านการจัดการความรู้
1.ความรู้ คือ การประมวลผลข้อมูลด้านต้นทุนที่ต่ำเพื่อเปลี่ยนรูปข้อมูลเข้าสู่รูปแบบของสารสนเทศ หรือความรู้ โดยความรู้จะแตกต่างจากสารสนเทศในแง่ว่า ความรู้คือ สารสนเทศที่ได้รับการจัดบริบทให้อยู่ในรูปแบบและเนื้อหาที่ตรงประเด็น สามารถนำไปปฏิบัติได้ในทันทีที่ผ็ใช้ต้องการหรืออาจเรียกได้ว่า ความรู้ คือ สารสนเทศเชิงปฏิบัติการมีการจำแนกเป็น 2 รูปแบบดังนี้
รูปแบบที่ 1 ความรู้โดยชัดเจน วัตถุประสงค์ เหตุผล เทคนิค มักอยู่ในลักษณะของนโยบาย คำชี้แนะกระบวนการ รายงาน กลยุทธ์ ภาระหน้าที่และความสามารถหลักของวิสาหกิจในการกระจายความรู้ระหว่างบุคคลและต้นทุนของการถ่ายโอนความรู้ต่ำ โดยอาจเรียกความรู้นี้ว่า ความรู้รั่วไหลเนื่องจากอาจจะถูกละทิ้งได้ง่าย
รูปแบบที่2 ความรู้โดยนัย คือ การจัดเก็บประสบการณ์ความหยั่งรู้ ความมีไหวพริบ ความลับทางการค้า ตลอดจนการเรียนรู้ในองค์การ มักจำกัดอยู่ในสมองของส่วนบุคคล มักเกี่ยวข้องกับผู้เชี่ยวชาญหรือระดับความรู้ทักษะขั้นสูงซึ่งมีคุณสมบัติแตกต่างจากทรัพย์สินอื่นดังนี้
1. ความรู้จะเพิ่มมูลค่าขึ้นเรื่อยๆตามระดับและปริมาณของการใช้
2. ความรู้จะอยู่ในรูปแบบเป็นพลวัตซึ่งถูกเปลี่ยนแปลงได้ง่าย
3. เป็นการยากที่จะประมาณการผลตอบแทนของการลงทุนด้านความรู้
4. ผลประโยชน์และความสมเหตุสมผลของความรู้ที่ได้รับอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ในช่วงเวลาหนึ่ง
2. การจัดการความรู้
เป็นกระบวนการหนึ่งซึ่งช่วยองค์การในการระบุ คัดเลือก รวบรวม และโอนย้ายสารสนเทศที่มีความสำคัญประกอบด้วยความรู้และความชำนาญงานโดยจัดเก็บไว้ในฐานความรู้ขององค์การ ความรู้เหล่านี้จะช่วยแก้ปัญหาอันเกิดจากการทำงานที่มักเกการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ มี 6 ขั้นตอนดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 การสร้างความรู้
ขั้นตอนที่ 2 การจับความรู้
ขั้นตอนที่ 3 การปรับความรู้
ขั้นตอนที่ 4 การเก็บความรู้
ขั้นตอนที่ 5 การจัดการความรู้
ขั้นตอนที่ 6 การเผยแพร่ความรู้
เมื่อมีการเผยแพร่ความรู้สู่บุคคลทั้งภายในและภายนอกองค์การแล้วต้องมีการพัฒนาการสร้างความรู้ใหม่หรือปรับความรู้เก่าอยู่เสมอ ดังนั้นความรู้จะไม่มีวันหมดสิ้นและมีอายุการใช้งานนานโดยผ่านกระบวนการปรับความรู้ให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ มี 3 กิจกรรมดังนี้
กิจกรรมที่1 การสร้างความรู้
กิจกรรมที่ 2 การใช้ความรู้ร่วมกัน
กิจกรรมที่ 3 การแสวงหาความรู้
3. ระบบการจัดการความรู้หรือ เคเอ็มเอส ประกอบด้วยกลุ่มของเทคโนโลยี 3 กลุ่ม ดังนี้
3.1 กลุ่มเทคโนโลยีด้านการสื่อสารคือ สื่อกลางที่ยินยอมให้ผู้ใช้เข้าถึงความรู้และสื่อสารความรู้นั้นกับบุคลอื่นโดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญ
3.2 กลุ่มเทคโนโลยีที่ใช้ร่วมกันเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กลุ่มกรุ๊ปแวร์ คือ การปฏิบัติงานของกลุ่มร่วมงานหนึ่งในเวลาเดี่ยวกันหรือต่างเวลา
3.3 กลุ่มเทคโนโลยีด้านการจัดเก็บและค้นคืนข้อมูล อยู่ภายใต้ของการใช้ระบบจัดการฐานข้อมูลเพื่อการจับ จัดเก็บ และจัดการความรู้ส่วนต่างๆ
4. เทคโนโลยีด้านการจัดการความรู้ เป็นเครื่องมือช่วยสนับสนุนการจัดการความรู้ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ โปรแกรมตัวแทนอัจฉริยะ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
4.1 ปัญญาประดิษฐ์ คือ ระบบผู้เชี่ยวชาญโครงข่ายเส้นประสาทระบบเหล่านี้จะอยู่รวมตัวกันในเคเอ็มเอส เพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ทั้งในส่วนของการเพิ่มสมรรถนะของการค้นหาความรู้ การกราดตรวจอีเมล์ เพื่อพยากรณ์ผลลัพธ์ในอนาคตมีการกำหนดความสัมพันธ์ของความรู้ด้วยวิธีปัญญาประดิษฐ์ ชี้ให้เห็นรูปแบบข้อมูลด้วยระบบโครงข่ายเส้นประสาท มีการนำกฏเกณฑ์ที่ใช้สำหรับระบบผู้เชี่ยวชาญมาช่วยให้ข้อคิดเห็นด้านความรู้ผ่านระบบโครงข่ายเส้นประสาทและระบบผู้เชี่ยวชาญ อีกทั้งมีการใช้พลังเสียงเพื่อสั่งงานด้วยการประมวลภาษา ธรรมชาติที่ต่อประสานเข้ากับเคเอ็มเอส
4.2 โปรแกรมตัวแทนอัจฉริยะ คือ ระบบซึ่งช่วยรียนรู้และช่วยเหลืองานของผู้ใช้ในแต่ละวัน
Turban et al. (2006, p. 318) ระบุถึงทางเลือกที่ใช้โปรแกรมเป็นเครื่องมือในการจัดการความรู้ ดังนี้ 1. บรีษัท ไอบีเอ็ม จำกัด เสนอโปรแกรมทำเหมืองข้อมูลอัจฉริยะรวมถึงแม่ข่ายการตัดสินใจสำหรับการค้นหา
2. บริษัท เจนเทีย จำกัด ใช้โปรแกรมตัวแทนอัจฉริยะเพื่อการสนับสนุนด้านการทำเหมืองข้อมูลบนเว็บ
3. บริษัท คอนเวนติส จำกัด ใช้โครงข่ายเส้นประสาทเพื่อค้นหาข้อมูลเพื่อให้เข้าใจความหมายของเอกสารสำหรับโปรแกรมตัวแทนอัจฉริยะ
4.3 การค้นหาความรู้ในฐานข้อมูล คือ กระบวนการซึ่งใช้ค้นหาและสกัดสารสนเทศที่มีประโยชน์จากข้อมูลและเอกสารซึ่งรวมงานด้านการสกัดความรู้ด้านต่างๆ ตลอดจนการเก็บเกี่ยวสารสนเทศโดยมีการดำเนินการอย่างอัตโนมัติ
4.4 ภาษาเอกซ์เอ็มแอล คือ ภาษาที่แสดงมาตรฐานของโครงสร้างข้อมูลเพื่อการประมวลผลข้อมูลผ่านระบบคอมพิวเตอร์ โดยไม่จำเป็นต้องใช้โปรแกรมประมวลผล วิธีนี้เหมาะสำหรับการใช้ระบบประยุกต์ด้านอิเล็กทรอนิกส์ มักจะดำเนินการข้ามขอบเขตขององค์การประโยชน์ของการใช้ภาษาเอกซ์เอ็มแอลนอกจากจะเป็นการประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติและลดปริมาณงานที่เป็นกระดาษลงแล้วยังเป็นการสนับสนุนระบบพันธมิตรทางธุรกิจอีกด้วย
5. ศูนย์รวมความรู้วิสาหกิจ
คือ ประตูที่เปิดเข้าสู่เคเอ็มเอสโดยมีวิวัฒนาการมาจากระบบสนับสนุนผู้บริหาร ระบบสนับสนุนกลุ่มร่วมงาน โปรแกรมค้นดูเว็บและระบบจัดการฐานข้อมูล ปกติแล้วบุคคลใช้เวลาถึง 30% ของเวลาทั้งหมดค้นหาสารสนเทศ ดังนั้น ศูนย์รวมความรู้วิสาหกิจจึงถูกนำมาใช้เพื่อการเสนอจุดเข้าถึงสารสนเทศเพียงจุดเดียวสำหรับความรู้โดยชัดเจน

6. การบูรณาการระบบสารสนเทศ
การพัฒนาเคเอ็มเอสบนแพลตฟอร์มที่ประกอบด้วย การสื่อสาร การร่วมมือกัน และเทคโนโลยีหน่วยเก็บข้อมูล โดยใช้แพลตฟอร์มเดียวกับระบบสารสนเทศอื่นหรือไม่ก็ได้ แต่สามารถใช้ความรู้ร่วมกันจากศูนย์รวมความรู้วิสาหกิจเพื่อการเข้าถึงข้อมูลที่เป็นสากลโดยใช้สารสนเทศและความรู้ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับองค์การ ดังนี้
6.1 การบูรณาการเข้ากับระบบสนับสนุนการตัดสินใจ
6.2 การบูรณาการเข้ากับปัญญาประดิษฐ์
6.3 การบูรณาการเข้ากับฐานข้อมูลและระบบสารสนเทศอื่น
6.4 การบูรณาการเข้ากับซีอาร์เอ็ม
ระบบสารสนเทศด้านอัจฉริยะทางธุรกิจ
1. ความหมาย
Turban et al. (2006, p. 318) นิยามไว้ว่า อัจฉริยะทางธุรกิจ คือ ระบบประยุกต์ประเภทหนึ่งประกอบด้วยการใช้เทคนิคด้านการรวบรวม การจัดเก็บ การวิเคราะห์ รวมทั้งการสนับสนุนการเข้าถึงข้อมูลโดยผู้ใช้สารสนเทศ เพื่อช่วยสนับสนุนงานด้านการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ให้เกิดประสิทธิผลยิ่งขึ้น โดยมีการจัดเก็บและเรียกใช้ข้อมูลจากโกดังข้อมูล
การจัดเก็บและรวบรวมข้อมูลจากฐานข้อมูลดำเนินงานขององค์การ มีการใช้ซอฟแวร์เป็นเครื่องมือรวบรวมสารสนเทศที่กระจัดกระจายอยู่ในหลายๆระบบ อาจจะไม่มีความเกี่ยวข้องกันได้โดยการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลการดำเนินงานอย่างอัตโนมัติและผู้ใช้สารสนเทศสามารถสอบถามข้อมูลและออกรายงานทั้งในรูปแบบรายงานข้อมูล รายงานพยากรณ์ รายงานกระตุ้นผู้ใช้ และการนำเสนอด้วยกราฟ
Gelinas et. Al 1(2002, 149) นิยามไว้ว่า อัจฉริยะทางธุรกิจ คือ ระบบสารสนเทศที่ใช้สนับสนุนการตัดสินใจของผู้จัดการสำหรับปัญหาที่ไม่มีโครงสร้างเพื่อการค้นคืนและการวิเคราะห์ข้อมูลตลอดจนแปลความหมายสารสนเทศที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจ โดยระบบจะสามารถโต้ตอบกับผู้ใช้อีกทั้งรองรับการสอบถามข้อมูลตามความต้องการตลอดจนอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้ในด้านการจัดหาข้อมูลและแบบจำลองข้อมูลผ่านการใช้เครื่องมือด้านการประมวลผลเชิงวิเคราะห์ออนไลน์หรือ โอแลป เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก
2. เครื่องมือและเทคนิค
จำเป็นต้องใช้เครื่องมือและเทคนิคที่หลากหลายในส่วนของระบบประยุกต์หลักที่รวมกิจกรรมการสอบถามข้อมูลและการรายงานผลเข้าด้วยกันกับโอแลปดีเอสเอส ดอตคอม รวมทั้งผู้ขายรายย่อยอื่นๆ โดยจำแนกเป็น 2 กลุ่มดังนี้
กลุ่มที่ 1 การค้นพบความรู้และสารสนเทศโดยการนำความรู้และสารสนเทศที่ได้รับมาใช้สนับสนุนการตัดสินใจของกลุ่มที่สอง
กลุ่มที่ 2 การสนับสนุนการตัดสินใจและการตัดสินใจเชิงอัจฉริยะ โดยการใช้ซอฟแวร์ด้านระบบอัจฉริยะเป็นเครื่องมือทั้งสองกลุ่มข้างต้นจะใช้เครื่องมือและเทคนิค
3. การประยุกต์ใช้งาน
3.1 การใช้บีไอด้านการวิเคราะห์สารสนเทศ สามารถปฏิบัติการสอบถามข้อมูลหลายระดับชั้นโดยการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลและออกรายงานเจาะลึกรายละเอียดเพื่อค้นหาสาเหตุสินค้าบางรายการถูกจัดเก็บในคลังสินค้ามากเกินความจำเป็นหรือค้นหาสินค้าขายดี โดยใช้ข้อมูลขายของงวดกิอนหน้านี้ใช้ซอฟแวร์ช่วยวางแผนการส่งเสริมการจำหน่ายสินค้าที่จัดเก็บในคลังมากเกินไปให้สามารถจำหน่ายออกไปไดในปริมาณเท่ากับสินค้าขายดีนั่นเอง
3.2 การใช้บีไอเพื่อการพยากรณ์ยอดขาย ใช้บีไอเพื่อนำเสนอความต้องการของลูกค้าในส่วนของรูปแบบพิซซ่า การใช้คูปองของลูกค้าตลอดจนช่วงเวลาที่สั่งซื้อเพื่อช่วยพยากรณ์ความเป็นไปได้ในการสั่งซื้อพิซซ่าครั้งต่อไปและการกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดที่มุ่งชักนำให้ลูกค้าสั่งซื้อพิซซ่ามากยิ่งขึ้น
อ้างอิง : ผศ.รุจิจันทร์ พิริยะสงวนพงศ์ สารสนเทศทางธุรกิจ ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด มหาชน

การใช้ ICT พัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบราชการ

นโยบายของรัฐบาลที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบราชการ โดยปฏิรูประบบราชการเริ่มจากการปรับโครงสร้างหน่วยงานการบริหารระบบราชการ และมีมาตรการต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
โดยเฉพาะการพัฒนาและบริหารกำลังคนนั่นคือ ข้าราชการ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ เป็นพลังผลักดันและขับเคลื่อน การนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT : Information and Communication Technology) เข้ามาใช้ในการพัฒนาและบริหารกำลังคน จึงต้องมีความเข้าใจถึงรากฐานตั้งแต่นโยบาย ICT ของประเทศ และนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการศึกษา
การใช้ ICT เพื่อพัฒนาบุคลากร , การใช้ ICT เพื่อการบริหารกำลังคน , การใช้ ICT เพื่อพัฒนาการบริการ , อุปสรรคการนำ ICT มาใช้ในการพัฒนาและบริหารกำลังคน ซึ่งแต่ละประเด็นล้วนมีความสอดคล้องสัมพันธ์กัน อันจะส่งผลไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบราชการโดยรวม
นโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
รัฐบาลได้มีการกำหนดกลยุทธ์การพัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่สำคัญไว้ 5 กลุ่ม คือ
· เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนาด้านภาครัฐ (e-Government)
· เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนาด้านพาณิชย์ (e-Commerce)
· เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนาด้านอุตสาหกรรม (e-Industry)
· เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนาด้านการศึกษา (e-Education)
· เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนาด้านสังคม (e-Society)
e-Government เป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลต้องการให้เกิดรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ โดยแบ่งออกเป็น 3 ด้านคือ G to G (Government to Government) หน่วยงานภาครัฐต่อภาครัฐ , G to B (Government to Business) หน่วยงานภาครัฐต่อภาคธุรกิจ และ G to C (Government to Citizen) หน่วยงานภาครัฐต่อภาคประชาชน โดยมีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการข้อมูลแห่งชาติ PMOC (Prime Minister Operation
Center) , MOC (Ministerial Operation Center) , POC (Provincial Operation Center) , DOC (Department Operation Center)
เป้าหมายสูงสุดของรัฐก็คือ ต้องการให้ประชาชนทุกคนมี Smart Card ที่สามารถแสดงข้อมูลของประชาชนทุกคนในประเทศได้ (สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี, 2546) เมื่อนำกลยุทธ์ทั้ง 5 นี้มาดำเนินการ โดยประสานสัมพันธ์และเชื่อมโยงการดำเนินการของแต่ละกลุ่มด้วยการวางแผนและการปฏิบัติที่รอบคอบ บนพื้นฐานของปัจจัยสำคัญอีกสามด้านที่จะเป็นสื่อนำไปสู่เศรษฐกิจและสังคมแห่งภูมิปัญญาและการเรียนรู้ คือ การสร้างทรัพยากรมนุษย์ การส่งเสริมนวัตกรรม และโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศและอุตสาหกรรมสารสนเทศ เชื่อว่าในสิบปีข้างหน้าประเทศไทยจะมีการพัฒนาไปสู่เป้าหมายข้างต้นได้อย่างเหมาะสม ยุทธศาสตร์ตามแผนแม่บทเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้
กำหนดยุทธศาสตร์หลักทั้ง 7 ด้าน ได้แก่
1. ยุทธศาสตร์ที่ 1 การพัฒนาอุตสาหกรรม ICT เพื่อให้เป็นผู้นำในภูมิภาค
2. ยุทธศาสตร์ที่ 2 การใช้ ICT เพื่อยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยและสังคม ไทย
3. ยุทธศาสตร์ที่ 3 การปฏิรูปและการสร้างศักยภาพเพื่อการวิจัยและพัฒนา ICT
4. ยุทธศาสตร์ที่ 4 การยกระดับศักยภาพพื้นฐานของสังคมไทยเพื่อการแข่งขันในอนาคต
5. ยุทธศาสตร์ที่ 5 การพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการเพื่อมุ่งขยายตลาดต่างประเทศ
6. ยุทธศาสตร์ที่ 6 การส่งเสริมผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมใช้ ICT
7. ยุทธศาสตร์ที่ 7 การนำ ICT มาใช้ประโยชน์ในการบริหารและการให้บริการของภาครัฐ
เป้าหมายการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศภาครัฐ เป็นเป้าหมายที่ครอบคลุมการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศในภาครัฐทั้งในการบริหารราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น โดยเป้าหมายการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศภาครัฐ มี 2 เป้าหมายหลักคือ
1. ระบบบริหาร (Back Office) ประกอบด้วยงานสารบรรณ งานพัสดุ งานบุคลากร งานการเงินและบัญชี และงานงบประมาณการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศครบวงจรภายในปี พ.ศ.2547
2. ระบบบริการ (Front office) ตามลักษณะงานของหน่วยงานต่าง ๆ ให้บริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ร้อยละ 70 ภายในปี พ.ศ.2548 และครบทุกขั้นตอนภายในปี พ.ศ.2553
บทสรุป
นโยบายของรัฐให้ความสำคัญในการนำ ICT เข้ามาใช้ในการบริหารจัดการและการบริการ ในหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ รวมไปถึงการพัฒนาบุคลากรทางด้านต่าง ๆ โดยอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเข้ามาใช้ให้มากขึ้น การพัฒนาบุคลากร การบริหารจัดการและการบริการของรัฐสามารถนำเอา ICT เข้ามาใช้ได้ในทุกด้าน แม้จะยังมีปัญหาอุปสรรคอยู่มากในหลาย ๆ ด้าน แต่ระบบราชการคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการนำ ICT เข้ามาช่วยในงานทุกส่วน เพื่อความทันสมัย ความสะดวกและรวดเร็วในการพัฒนาระบบราชการจะเกิดประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก ถ้าได้นำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเข้ามาใช้โดยเฉพาะพัฒนาข้าราชการอันเป็นหัวใจของระบบราชการทั้งหมด

วารสารวิทยบริการ ปีที่ 16 ฉบับที่ 1 มกราคม-เมษายน 2548 หน้า 48-61
ดร.ปรัชญนันท์ นิลสุข (ค.ด.เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา)
หัวหน้าศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสงคราม
prachyanun@hotmail.com http://www.prachyanun.com
ดร.ปรัชญนันท์ นิลสุข

แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 9

แบบฝึกหัดบทที่ 9
1. จงอธิบายแนวทางการใช้งานระบบสารสนเทศทางการบัญชีมาพอเข้าใจ
- แนวทางการใช้สารสนเทศทางการบัญชี คือ การรายงาน การวิเคราะห์ต้นทุนต่างรายงานงบประมาณ เป็นต้นซึ่งเป็นเครื่องมือหนึ่งของการเพิ่มมูลค่าให้ธุรกิจภายใต้โซ่คุณค่าขององค์การและเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับการดำเนินงานและการตัดสินใจทางธุรกิจด้วย
2. จงยกตัวอย่างผู้ใช้สารสนเทศทางการบัญชีภายนอกองค์กรมาสัก 2 ตัวอย่าง
- ตัวอย่างเช่น ผู้ใช้สารสนเทศทางการบัญชีภายนอกองค์การ คือ ผู้ที่ทำการบัญชีในภาคเอกชนหรือห้างร้านต่างๆ ที่ไม่ใช่รัฐบาลเป็นผู้ดูแล
3. หากท่านดำเนินธุรกิจร้านมินิมาร์ทแห่งหนึ่ง ท่านเลือกที่จะติดตั้งใช้งานระบบสารสนเทศทางการบัญชีหรือไม่ อย่างไร
- เลือก เนื่องจากสามรถเก็บข้อมูลได้ทั้งขั้นต้นและขั้นปลายอีกทั้งยังสามารถลดการใช้ปริมาณกระดาษได้เนื่องจากธุรกิจใช้ระบบการจัดเก็บเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์และช่วยเพิ่มความรวดเร็วในด้านการรับส่งข้อมูล
4. หากธุรกิจแห่งหนึ่งมีการใช้ระบบสารสนเทศทางการบัญชีที่ได้รับการประกันความถูกต้องของข้อมูล ท่านคิดว่าธุรกิจนั้นจะได้รับประโยชน์อย่างไร
- 1. ช่วยให้ธุรกิจทราบกำไรขาดทุนที่แท้จริง
2. ช่วยให้ธุรกิจทราบฐานะทางการเงินของกิจการ
3. เป็นเครื่องมือช่วยสนับสนุนการหาแหล่งเงินทุนของธุรกิจ
4. เป็นเครื่องมือในการเสียภาษี
5. ช่วยในการวางแผนธุรกิจ
6. ช่วยในการปรับปรุงและพัฒนาธุรกิจให้เจริญก้าวหน้าต่อไป
5. ท่านคิดว่าเอกสารทางการบัญชีของระบบประมวลผลด้วยมือ และแฟ้มข้อมูลของระบบประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ มีความสัมพันธ์กันอย่างไร
- มีความสัมพันธ์กัน คือ เป็นการทำบัญชีที่เหมือนกันแต่จะแตกต่างตรงที่ว่าการทำบัญชีด้วยระบบคอมพิวเตอร์เป็นการนำระบบโปรแกรมสำเร็จรูปทางการบัญชีมาใช้ ซึ่งไม่ต้องเสียเวลาในการทำให้ยุ่งยาก ซึ่งต่างกับการบันทึกบัญชีด้วยมือ

6. เพราะเหตุใดรายงานภาษีมูลค่าเพิ่ม จึงถือเป็นส่วนหนึ่งของรายงานทางการเงิน
- เนื่องจากในการลงบันทึกการบัญชีจะเกิดขึ้นได้ต้องมีการซื้อขาย แลกเปลี่ยน เพราะฉะนั้นจึงมีความเกี่ยวข้องกันกับภาษีมูลค่าเพิ่ม เพราะในการจัดทำบัญชี ธุรกิจจะต้องจัดทำรายงานภาษีมูลค่าเพิ่มพร้อมทั้งส่งให้กรมสรรพากรตรวจสอบในการซื้อขาย แลกเปลี่ยนกันเพื่อที่จะได้นำตัวเลขที่ได้มาทำการคำนวณภาษีได้อย่างถูกต้อง
7. จงอธิบายแนวโน้มของระบบสารสนเทศทางการบัญชีในอนาคต
- ในอนาคตของระบบสารสนเทศทางการบัญชีอาจมีการใช้โปรแกรมสำเร็จรูปในองค์การมากขึ้นเนื่องจากสะดวก รวดเร็วและยังสามารถป้องกันความผิดพลาดได้ด้วย
8. หากธุรกิจมีการเสนองบการเงิน ซึ่งมีการนำเสนอข้อมูลด้านการวิเคราะห์อัตราส่วนเพิ่มเติมด้วยจะถือเป็นรายงานทางเงินหรือรายงานทางการบริหาร
- รายงานทางการบริหาร
9. การเชื่อมโยงข้อมูลภายในธุรกิจจะได้รับข้อมูลจากระบบงานใดบ้าง
- 1. ระบบสารสนเทศทางการผลิต
2. ระบบสารสนเทศทางการตลาด
3. ระบบสารสนเทศทางการเงิน
4. ระบบสารสนเทศทางการเพื่อการบริหารทรัพยากรมนุษย์
5. ผู้จัดการงานบัญชี
6. ผู้ใช้รายงาน
10. เพราะเหตุใดธุรกิจจึงจำเป็นต้องใช้โปรแกรมการวางแผนทรัพยากรองค์การร่วมกับการใช้ระบบสารสนเทศทางการบัญชี
- ทราบถึงข้อมูลภายในองค์การเพื่อที่จะนำข้อมูลที่ได้ไปลงข้อมูลทางการบัญชีได้อย่างถูกต้อง